top of page

ประเภทของการอ่าน

ประเภทของการอ่าน

            การอ่านแบ่งออกเป็น ๒ ประเภทคือ การอ่านในใจและการอ่านออกเสียง

๒.การอ่านในใจ

            การอ่านในใจ คือการแปลความหมายของตัวอักษรออกมาเป็นความคิด ความเข้าใจ และนำความคิดความเข้าใจที่ได้นั้นไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ประเภทของการอ่านดังต่อไปนี้คือ

           

๑. การอ่านจับใจความ

            การอ่านจับใจความ เป็นการอ่านหนังสืออย่างละเอียดเพื่อเก็บแนวคิดหรือสรุปสาระสำคัญของเรื่อง ที่อ่าน หลักสำคัญของการอ่านจับใจความคือการแยกใจความ (ข้อความสำคัญที่สุด) ออกจาก พลความ (ข้อความประกอบ)

วิธีการอ่าน

๑) สังเกตส่วนประกอบของงานเขียน เช่น ชื่อเรื่อง คำนำวัตถุประสงค์ ของผู้เขียนว่าเป็นงานเกี่ยวกับอะไร และเขียนเพื่ออะไร

๒) วิเคราะห์จุดมุ่งหมายงานเขียนว่าเขียนด้วยวัตถุประสงค์ใด

๓) จัดลำดับเนื้อหาใหม่ตามความสำคัญ

๔) ใช้การตั้งคำถามกว้าง ๆ ว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร และทำไม เพื่อหาความสัมพันธ์ในการดำเนินเรื่อง

 

๒. การอ่านตีความ

คือ การอ่านที่ผู้อ่านจะต้องใช้สติปัญญาตีความหมายของคำและข้อความทั้งหมด โดยพิจารณาถึงความหมายโดยนัย หรือความหมายแฝงที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อความหมาย ซึ่งทั้งนี้ผู้อ่านจะสามารถตีความหมายของคำสำนวนได้ถูกต้องหรือไม่นั้นจำเป็นต้องอาศัยเนื้อความแวดล้อมของข้อความนั้นๆบางครั้งต้องอาศัยความรู้หรือประสบการณ์ปัจจุบันเป็นเครื่องช่วยตัดสินการอ่านตีความมีหลักเกณฑ์ในการอ่านดังนี้

การอ่านตีความอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้อ่านต้องพิจารณาความหมายโดยอาศัยบริบท น้ำเสียงของผู้เขียน เจตคติ ภูมิหลังของเหตุการณ์ประกอบด้วย

ข้อปฏิบัติในการอ่านตีความ

- อ่านเรื่องให้ละเอียดโดยพยายามจับประเด็นสำคัญของเรื่องให้ได

- หาเหตุผลอย่างรอบคอบเพื่อพิจารณาว่ามีความหมายถึงสิ่งใด

- ทำความเข้าใจกับถ้อยคำที่ได้จากการตีความ

- เรียบเรียงถ้อยคำให้มีความหมายชัดเจนและมีเหตุมีผลเป็นหลักสำคัญ

 

๓. การอ่านอย่างมีวิจารณญาณ

การอ่านชนิดนี้เป็นการอ่านที่ค่อนข้างยาก เพราะต้องใช้การหาเหตุผลมาใช้ในการวิจารณ์

ข้อควรปฏิบัติในการอ่านอย่างใช้วิจารณญาณ

๑. พิจารณาความหมายของข้อความที่อ่าน

๒. พิจารณาความต่อเนื่องของประโยคว่ามีเหตุผลสอดรับกันหรือไม่

๓. พิจารณาความต่อเนื่องของใจความหลักและใจความรอง

๔. แยกแยะข้อเท็จจริงออกจากความคิดเห็นและความรู้สึก

๕. พิจารณาว่ามีความรู้เนื้อหา หรือมีความคิดแปลกใหม่น่าสนใจหรือไม่

 

๔. การอ่านวิเคราะห์

การอ่านชนิดนี้เป็นการอ่านเพื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เป็นการแยกแยะทำความเข้าใจองค์ประกอบหรือโครงสร้างของหนังสือแต่ละประเภท

ข้อควรปฏิบัติในการอ่านวิเคราะห์

๑. ศึกษารูปแบบของงานประพันธ์ว่าเป็นรูปแบบใด

๒. แยกเนื้อเรื่องออกเป็นส่วน ๆ ให้เห็นว่าใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เมื่อไร

๓. แยกพิจารณาแต่ละส่วนให้ละเอียดลงไปว่าประกอบด้วยอะไรบ้าง

๔. พิจารณากลวิธีในการนำเสนอ

 

๕.การอ่านเพื่อประเมินคุณค่า

การประเมินค่าเป็นการตัดสินความถูกต้องเที่ยงตรงและคุณค่าของเรื่องที่อ่าน ว่าถูกต้องชัดเจนหรือไม่ เชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด มีคุณค่าหรือไม่ อย่างไร โดยพิจารณาเนื้อหา วิธีการนำเสนอ และการใช้ภาษา

วิธีการอ่านประเมินคุณค่า

๑.พิจารณาความถูกต้องของภาษาจากเรื่องที่อ่าน
๒.พิจารณาความต่อเนื่องของประโยค ว่าเป็นข้อความที่ไปกันได้ ไม่ขัดแย้งกัน
๓.พิจารณาความต่อเนื่องของความหมาย
๔.เมื่ออ่านแล้วต้องแยกข้อเท็จจริงออกจากความคิดเห็น และความรู้สึกจากเรื่องที่อ่าน

 

การอ่านออกเสียง

            การอ่านออกเสียง หมายถึงการอ่านข้อความโดยการเปล่งเสียงออกมาเพื่อให้ผู้อื่นได้รับรู้ข้อความนั้นๆ ด้วยการอ่านออกเสียงแบ่งเป็น ๒ ลักษณะคือ

 

๑.การอ่านออกเสียงปกติ

          เป็นการอ่านออกเสียงตามปกติทั่วไป อ่านได้ทั้งบทร้อยแก้วและร้อยกรอง เช่น อ่านข่าว อ่านประกาศ อ่านตีบท อ่านสารคดี อ่านข้อความประกอบภาพนิ่ง หรืออ่านบทภาพยนตร์

วิธีการอ่านออกเสียงปกติ 

๑.ทำความเข้าใจกับเรื่องที่จะอ่านก่อนการอ่านจริง

๒.ออกเสียงชัดเจน ดังพอประมาณ มีลีลาจังหวะในการอ่านอย่างเหมาะสม

๓.แบ่งวรรคตอนได้ถูกต้อง

๔.อ่านออกเสียงถูกต้องตามอักขรวิธี

 

๒.การอ่านทำนองเสนาะ

          การอ่านทำนองเสนาะเป็นการอ่านออกเสียงบทร้อยกรองหรือวรรณคดีไทยให้ไพเราะน่าฟัง มุ่งให้เกิดความรู้สึกซาบซึ้ง เกิดอารมณ์ จินตนาการ คล้อยตามบทร้อยกรองนั้นๆ ด้วย                

วิธีการอ่านทำนองเสนาะ

๑.ต้องรู้จักลักษณะคำประพันธ์ที่จะอ่านก่อนว่าบังคับฉันทลักษณ์อย่างไร

๒.อ่านให้ถูกทำนอง

๓.ควรมีน้ำเสียงและลีลาในการอ่านที่ดี

๔.ออกเสียงแต่ละคำถูกต้องชัดเจน

bottom of page